Ramp T-28 ของนักบินม้งที่สนามบินล่องแจ้ง

(นักบินม้งมือหนึ่งของระหัสดาวขาว(นายพลว่าง เปา)ชื่อ ร.อ.ลีลือ "ยอดนักบิน"ของม้งลาวล่องแจ้งเมื่อปี2513-2515 มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3 หมื่นคนโดยเป็นชาวม้ง 95% ที่เหลือก็มาจากเผ่าต่างๆ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์จะเป็นที่ราบลุ่มอยู่ในหุบเขา มีพื้นที่ส่วนที่เป็นที่ราบ (มีเนินเตี้ยๆอยู่บ้าง) ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น
ด้านทิศเหนือเป็นแนวสันเขาติดต่อกันยาวคล้ายกำแพงกั้นหุบเขาซึ่งเรียกว่า skyline เป็นแนวป้องกันข้าศึกได้เป็นอย่างดี
บ้านของ"วังเปา"ซึ่งถ่ายไว้เมื่อประมาณปี 2513 โดยนักบินหน่วยกู้ภัยจากฐานทัพนครพนม
จะสังเกตุเห็นว่ารอบๆบ้านซึ่งเป็นทั้งกองบัญชาการจะมีบ้านของชาวม้งอยู่เต็มไปหมด
วัสดุที่ชาวบ้านนำมาทำที่อยู่อาศัยก็จะได้มาจากลังบรรจุลูกระเบิด จรวด ลังลูกปืนใหญ่ และลังสัมภาระต่างๆที่มาจากอุดรฯ
เป็นบ้านหลังเดียวกันแต่ถ่ายเมื่อปลายปี 2551(ขอสงวนแหล่งที่มาของรูป)
จะเห็นได้ว่าบ้านของชาวม้งที่ปลูกอยู่รอบๆบ้านท่านนายพลได้หายไปหมด
ปัจจุบันทางการลาวใช้บ้านดังกล่าวเป็นสำนักงานควบคุมการก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน 3 มีการติดตั้งจานรับดาวเทียมไว้บนหลังคาบ้าน
สนามบิน เครื่องบินทุกลำจะถูกบังคับให้ลงจากทางทิศตะวันออกเท่านั้นเพราะทิศตะวันตกเป็นภูเขาสูงชัน
ส่วนนักบินม้งคนที่อยู่ในรูปคือ ร.อ.ลีลือ "ยอดนักบิน" ของวังเปาผู้ที่เคยทำสถิตินำเครื่องขึ้นทิ้งระเบิดถึง 8 เที่ยวต่อวันมาแล้ว
ก่อนที่จะเสียชีวิตเพราะโดนยิงตก
ตลาดที่อยู่รอบๆสนามบิน และรูปสนามบินซึ่งถ่ายจาก ฮ.ของหน่วยกู้ภัย เครื่องบินจะลงจากทิศทางนี้
และที่เห็นเป็นกลุ่มอาคารด้านมุมซ้ายของทางวิ่งลง คือบก.สิงหะของทหารไทยอาสาฯ
และเรือนพักของบรรดาผู้ตรวจการหน้าประจำกองพันต่างๆของทหารไทย
นักบินลาวและนักบินม้งทั้งหมดจะผ่านการฝึกหลักสูตรการใช้ภาษาอังกฤษและการบินทิ้งระเบิดจากฐานทัพอุดรฯ
หลังจากนั้นก็จะแยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ตามจุดต่างๆทั่วลาว
โดยมีกองทัพอากาศสหรัฐเป็นผู้จัดการทั้งหมดเช่นฝึกช่างเครื่อง เจ้าหน้าที่สรรพวุธติดจรวด ลูกระเบิด ส่วนเบี้ยเลี้ยง
ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทาง ซี.ไอ.เอ.เป็นเจ้าภาพทั้งหมด นักบินลาวและม้งที่ล่องแจ้งจะมีรายได้มากกว่าที่อื่น
เพราะมีรางวัลต่อเที่ยวให้ 100 บาทและปลอกจรวด กระสุนปืนกลอากาศ 20มม.ก็ตกเป็นของนักบินและทีมงานทั้งหมด
โดยเฉลี่ยแล้วนักบินที่ล่องแจ้ง จะมีเที่ยวบินโดยเฉลี่ยวันละ 4 เที่ยวต่อคน
(เครื่องบินติดลูกระเบิดบินขึ้น ทิ้งระเบิดต่อเป้าหมาย บินกลับฐาน เรียกว่า 1 เที่ยวบิน หรือ 1 sorty)
นับตั้งแต่ เสธ.ดำ เข้าไปสู่สมรภูมิรบในลาว ได้เห็นการทิ้งระเบิดแทบจะเรียกได้ว่าทุกวัน
ถ้าไม่มีการสู้รบติดพันซึ่งทหารภาคพื้นดินจะต้องขอการสนับสนุนจาก T-28 หรือ A-1E Sky Raider
หรือแม้กระทั่งจากฝูงบินโจมตีทิ้งระเบิดขนาดหนัก Phantom F-4Cจากฐานทัพอุดรฯ
ส่วนวันไหนไม่มีการสู้รบเจ้านกกระเต็นหรือ Raven ก็จะต้องขึ้นบินลาดตระเวณทางอากาศ (Air Reconnaissance)
เพื่อค้นหาเป้าหมายโดยการติดต่อกับกำลังภาคพื้นดิน
และหน่วยหาข่าวหลังแนวข้าศึก เมื่อพบเป้าหมายแล้วก็จะเรียกใช้บริการจากฝูงบิน T-28, Sky Raider หรือ Phantom F-4C แล้วแต่ขนาดของเป้าหมาย แต่เอาเป็นว่ามีงานเข้าทุกวันไม่เคยเว้น ส่วน B-52นั้นจะใช้ก็ต่อเมื่อพบการเคลื่อนไหวของข้าศึกระดับกรมขึ้นไป หรือขบวนยานยนต์ลำเลียงทหาร ยุทโธปกรณ์และขบวนรถถัง
การทิ้งระเบิดของ B-52 ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินชี้เป้าเช่นเจ้านกกระเต็น
แต่จะใช้ข้อมูลจากหน่วยข่าวซึ่งจะรายงานพิกัดที่ตั้งของข้าศึกผ่านcase officer ของ ซี.ไอ.เอ.
หรือไม่ก็จากภาพถ่ายทางอากาศของเครื่องบินตรวจการณ์ทางอากาศ(สมัยนั้นดาวเทียวยังไม่ได้รับการพัฒนา)
นักบินลาวจะใช้"นกกระเต็น"เป็นนามเรียกขาน(call sign)ของเครื่องบินชี้เป้า ส่วนนักบินสหรัฐจะใช้"Raven" เป็นนามเรียกขาน และ T-28 จะใช้คำว่า"เจ้าผาขาว" ส่วนนามเรียกขานของนายพลวังเปาคือ "ดาวขาว" เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดขนาดหนักในสมัยนั้น (2510-2516) Phantom F-4C ถือว่าสุดยอดแล้ว F-4C มีฐานอยู่ที่อุบลฯ
ซึ่งจะรับงานทิ้งระเบิดโจมตีในเวียตนามและเส้นทางโฮจิมินโดยเฉพาะ และอีกแห่งหนึ่งคือที่ฐานทัพอุดรฯ
ซึ่งจะรับงานทิ้งระเบิดโจมตีทั้งในเวียตนามและในลาว














